ป่าพรุผืนสุดท้ายของเมืองไทยที่ได้รับการประกาศให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำลำดับที่ 1102 ของประเทศไทยเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 โดยครอบคลุมพื้นที่ 3 อำเภอ คือ อำเภอตากใบ อำเภอสุไหงโกลก และอำเภอสุไหงปาดี มีพื้นที่ประมาณ 120,000 ไร่ ทว่าส่วนที่สมบูรณ์นั้นเหลือเพียง 50,000 ไร่ ป่าพรุโต๊ะแดงแห่งนี้เป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ป่าและพรรณไม้ โดยมีลำน้ำสำคัญหลายสายไหลผ่าน ได้แก่ คลองสุไหงปาดี แม่น้ำบางนรา และคลองโต๊ะแดง อันเป็นที่มาของชื่อป่านั่นเอง กำเนิด “ป่าพรุ” ป่าพรุ หรือ peat swamp forest นั้น เกิดจากแอ่งน้ำจืดขังติดต่อกันชั่วนาตาปี และมีการสะสมของชั้นดินอินทรียวัตถุ ได้แก่ ซากพืช ซากต้นไม้ ใบไม้ที่ย่อยสลายอย่างช้า ๆ กลายเป็นดินพีท (peat) หรือดินอินทรีย์ที่มีลักษณะหยุ่นยวบเหมือนฟองน้ำ มีความหนาแน่นน้อย อุ้มน้ำได้มาก อีกทั้งพบว่ายังมีการสะสมระหว่างดินพีทกับดินตะกอนทะเลสลับชั้นกัน 2-3 ชั้น ทั้งนี้ เพราะน้ำทะเลเคยมีระดับสูงขึ้นจนท่วมป่าพรุ ทำให้เกิดการสะสมของตะกอน เมื่อน้ำทะเลถูกขังอยู่ด้านใน และพันธุ์ไม้ในป่าพรุตายไป ก็เกิดป่าชายเลนขึ้นมาแทนที่ ครั้นระดับน้ำทะเลลดลงและมีฝนตกลงมาสะสม ได้ชะล้างความเค็มจากน้ำที่ขังไปทีละน้อย ค่อย ๆ กลายเป็นน้ำจืด และก่อเกิดเป็นป่าพรุขึ้นอีกครั้ง ซึ่งดินพรุชั้นล่างนั้นมีอายุถึง 6,000-7,000 ปี ส่วนดินพรุชั้นบนอยู่ระหว่าง 700-1,000 ปี ระบบนิเวศของป่าพรุ ระบบนิเวศของป่าพรุคือความน่าทึ่งของธรรมชาติ ที่สร้างสรรค์ให้ทุกชีวิตล้วนมีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันอย่างน่าเรียนรู้ คุณจะพบไม้ยืนต้นที่มีระบบรากแขนงแข็งแรงแผ่ออกไปเกาะเกี่ยวกัน เพื่อจะได้ช่วยพยุงลำต้นของกันและกันให้ทรงตัวอยู่ได้ และนี่เองที่ทำให้ต้นไม้ในป่าพรุอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม หากต้นใดล้ม ต้นอื่นจะล้มตามไปด้วย ทั้งนี้ พันธุ์ไม้ที่พบในป่าพรุนั้น มีกว่า 400 ชนิด บางอย่างนำมารับประทานได้ เช่น หลุมพี ซึ่งเป็นไม้ในตระกูลปาล์ม มีลักษณะต้นและใบคล้ายปาล์ม แต่มีหนามแหลมอยู่ตลอดก้าน ผลมีลักษณะคล้ายระกำ แต่เล็กกว่า รสชาติออกเปรี้ยว ชาวบ้านนำมาดองและส่งขายไปยังประเทศมาเลเซีย โดยฤดูเก็บลูกหลุมพีจะอยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-มีนาคม หากนอกฤดูกาลแล้ว จะหายากและมีราคาสูง ขณะเดียวกันไม้บางอย่างก็เป็นพืชพรรณในเขตมาเลเซีย เช่น หมากแดง ซึ่งมีลำต้นสีแดง เป็นปาล์มชั้นดี ขายได้ราคางาม และมีผู้นิยมนำไปเพาะเพื่อประดับสวน เนื่องจากความสวยของกาบ ใบ และลำต้นที่มีสีแดงดังชื่อ นอกจากนี้ในป่าพรุยังมีพืชอีกหลายชนิดที่น่าสนใจ เช่น ปาหนันช้าง อันเป็นพืชในวงศ์กระดังงาที่มีดอกใหญ่ และกล้วยไม้กับพืชเล็ก ๆ ซึ่งต้องสังเกตดี ๆ จึงจะพบเห็น สัตว์ประจำถิ่น ในป่าพรุนั้นมีสัตว์ป่าที่พบกว่า 200 ชนิด เช่น ค่าง ชะมด หมูป่า หมีขอ แมวป่าหัวแบน อันเป็นสัตว์คุ้มครองที่หายากชนิดหนึ่งของไทย หนูสิงคโปร์ ที่พบค่อนข้างยากในคาบสมุทรมลายู แต่กลับมีชุกชุมบนเกาะสิงคโปร์ สำหรับประเทศไทยพบในป่าพรุโต๊ะแดงนี้เท่านั้น และหากป่าพรุถูกทำลาย หนูเหล่านี้อาจออกไปทำลายผลิตผลของเกษตรกรในพื้นที่โดยรอบได้ ส่วนพันธุ์ปลาที่พบ ได้แก่ ปลาปากยื่น ที่เป็นปลาชนิดใหม่ของโลกซึ่งพบที่ป่าพรุสิรินธรนี้เท่านั้น ปลาดุกรำพัน ที่มีรูปร่างคล้ายงู ซึ่งอาจพัฒนาเป็นปลาเศรษฐกิจที่ใช้เลี้ยงในแหล่งที่มีปัญหาน้ำเปรี้ยวได้ ปลากะแมะ รูปร่างประหลาดมีหัวแบน ๆ กว้าง ๆ และลำตัวค่อย ๆ ยาวเรียวไปจนถึงหาง มีเงี่ยงพิษอยู่ที่ครีบหลัง ปลาเหล่านี้จะอาศัยป่าพรุเป็นพื้นที่หลบภัยและวางไข่ ก่อนแพร่ลูกหลานออกไปให้ชาวบ้านใช้ยังชีพ สวรรค์นักดูนก นกในป่าพรุนั้นมีหลายชนิด แต่ชนิดที่เด่น ๆ ได้แก่ นกกางเขนดงหางแดง พบมากในเกาะสุมาตรา เกาะบอร์เนียว และมาเลเซีย ในประเทศไทยพบครั้งแรกที่นี่ เมื่อปี พ.ศ. 2530 นกจับแมลงสีฟ้ามาเลเซีย ซึ่งในประเทศไทยจะพบที่ป่าพรุสิรินธรเพียงแห่งเดียวเท่านั้น และปัจจุบันนกทั้งสองชนิดอยู่ในภาวะล่อแหลม เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ฤดูกาลเหมาะสม คุณสามารถสัมผัสความเย็นสบายภายในป่าพรุได้เกือบตลอดทั้งปี เนื่องจากป่าพรุมีสภาพภูมิอากาศแบบคาบสมุทร มีฝนชุกตลอดทั้งปี แต่ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยวป่าพรุ คือระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน เพราะเป็นช่วงที่ฝนตกน้อยที่สุด ทำให้สามารถเดินชมป่าพรุได้สะดวกสบายกว่าช่วงเวลาอื่น กิจกรรมน่าทำ นักท่องเที่ยวสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ความสุขจากป่าพรุได้มากมาย ส่วนเด็ก ๆ ก็สามารถเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตจากธรรมชาติจริงที่เขาได้พบเห็น เพราะเพียงแค่เดินชมธรรมชาติเงียบ ๆ อาจได้เห็นสัตว์ป่ากำลังหาอาหารอยู่ เพียงเท่านี้ก็สามารถกระตุ้นการเรียนรู้ได้มากมายแล้วสำหรับเจ้าตัวเล็ก การเดินชมธรรมชาติของป่าพรุต้องเดินในเส้นทางที่จัดเตรียมไว้ซึ่งเป็นเส้นทางที่นำเราเข้าไปหาธรรมชาติอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันก็ไม่ก้าวล่วงธรรมชาติมากเกินไปนัก ถ้าหากคุณนำคู่มือดูนก สมุดบันทึก ดินสอสี กล้องส่องตา กล้องถ่ายรูป และยาทากันยุงไปด้วย อาจเพลิดเพลินอยู่ภายในป่าพรุได้ตลอดทั้งวัน ทั้งนี้ ภายในศูนย์ฯ ได้จัดให้มีทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติ เพื่อประชาสัมพันธ์ความรู้ด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับธรรมชาติของป่าพรุ โดยเริ่มที่บึงน้ำด้านหลังอาคารศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธร มีลักษณะเป็นสะพานไม้ต่อกัน ลัดเลาะเข้าไปในป่าพรุ ระยะทาง 1,200 เมตร บางช่วงเป็นสะพานไม้ร้อยลวดสลิง บางช่วงเป็นหอสูงสำหรับมองทิวทัศน์เบื้องล่าง ที่ชอุ่มไปด้วยพรรณไม้ในป่าพรุ อีกทั้งตลอดทางจะพบป้ายชื่อต้นไม้ที่น่าสนใจอยู่ตลอด รวมทั้งซุ้มความรู้ที่ตั้งอยู่เป็นจุด ๆ ที่นี่เปิดทุกวัน เวลา 08.00-16.00 น. ไม่เสียค่าเข้าชม นอกจากนี้ยังมีห้องจัดนิทรรศการให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยวที่มาชมอีกด้วย ข้อควรระวัง สิ่งที่ต้องให้ความระมัดระวังในป่าพรุ ก็คือ ยุงดำ อันเป็นพาหะนำโรคเท้าช้าง ซึ่งมีอยู่ชุกชุมและมักออกหากินในช่วงพลบค่ำ และไม่ควรสูบบุหรี่ภายในป่าพรุ เพราะอาจเกิดไฟป่าขึ้นได้ หากมีใครเผลอทิ้งก้นบุหรี่ลงไป ที่สำคัญเมื่อป่าพรุเกิดไฟป่าแล้ว จะดับยากมากกว่าป่าชนิดอื่น เพราะเชื้อเพลิงไม่ได้มีแค่ต้นไม้ในป่าเท่านั้น หากยังรวมไปถึงซากไม้และต้นไม้ที่ทับถมกันในชั้นดินพรุ ไฟจึงสามารถลุกลามลงไปใต้ดิน ทำให้การควบคุมเพลิงหรือดับไฟนั้นทำได้ลำบาก ไฟจะคุกรุ่นกินเวลานานนับเดือน ต้องรอจนกว่าจะมีฝนตกชุก จนเกิดน้ำท่วมผิวดินไฟจึงจะดับสนิท การเดินทาง โดยรถไฟ : การเดินทางจากกรุงเทพฯ ด้วยรถไฟนั้น ค่อนข้างสะดวกกว่ารถประจำทาง เพราะมีสถานีปลายทางอยู่ที่อำเภอสุไหงโกลก เมื่อมาถึงแล้วสามารถใช้บริการรถรับจ้างจากตัวเมืองสุไหงโกลกได้ โดยรถยนต์ : จากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่อำเภอตากใบ โดยใช้เส้นทางตากใบ-สุไหงโกลก (ทางหลวงหมายเลข 4057) ประมาณ 5 กิโลเมตร จะพบทางแยกเล็ก ๆ เข้าสู่ถนนชวนะนันท์ เข้าไปประมาณ 3 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายไปอีก 2 กิโลเมตร มีป้ายบอกทางเข้าสู่ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธรเป็นระยะ สอบถามรายละเอียดที่ : ตู้ ปณ. 37 อำเภอสุไหงโกลก นราธิวาส 96120