เขียนวันที่
วันศุกร์ ที่ 13 มกราคม 2566 เวลา 00:56 น.
เหตุการณ์คนร้ายลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ชุดคุ้มครองตำบล (ชคต.) ศรีสาคร อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส ขณะขับขี่รถจักรยานยนต์กลับจากปฏิบัติหน้าที่ รปภ.ครู จนได้รับบาดเจ็บ จากนั้นคนร้ายได้ออกมาจากจุดซุ่ม แล้วกระหน่ำยิงซ้ำ ทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิต 1 นาย ได้รับบาดเจ็บ 2 นาย ก่อนชิงอาวุธปืนเอ็ม 16 ประจำกายของเจ้าหน้าที่ แล้วหลบหนีไปอย่างลอยนวล เมื่อวันพุธที่ 11 ม.ค.66 นั้น
รูปแบบการโจมตีลักษณะ “บึ้ม-ยิง-ชิงปืน” นี้ ไม่ได้เพิ่งจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่เป็นยุทธวิธีที่ผู้ก่อเหตุรุนแรงเลือกใช้แทบทุกครั้งที่อยู่ในสถานการณ์ได้เปรียบ หรือมีกำลังคนมากกว่ากำลังเจ้าหน้าที่ที่ถูกโจมตี
ที่สำคัญ…ชัยภูมิต้องเหมาะสม ที่เรียกกันว่า “เป้าหมายชัด โอกาสมี ทางหนีพร้อม”
ย้อนกลับไปในอดีต การก่อเหตุรูปแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง อย่างเช่น เหตุการณ์เมื่อวันที่ 27 เม.ย.60 ผู้ก่อเหตุรุนแรงมากกว่า 10 คน ลอบวางระเบิดรถของเจ้าหน้าที่ทหารพราน กองร้อยทหารพรานที่ 1114 (ร้อย ทพ.1114) หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 11 (ฉก.ทพ.11) บนถนนจะแนะ-สุคิริน ท้องที่หมู่ 3 บ้านริแง ต.ผดุงมาตร อ.จะแนะ จ.นราธิวาส ทำให้รถเสียหลักตกข้างทาง จากนั้นคนร้ายจึงได้ระดมยิงซ้ำจนทำให้เจ้าหน้าที่ทหารพรานเสียชีวิตทั้งหมด 6 นาย ก่อนที่คนร้ายจะออกจากที่ซ่อนมาจ่อยิงซ้ำเพื่อให้มั่นใจว่าเสียชีวิตจริงๆ แล้วจึงราดน้ำมันจุดไฟเผาศพเจ้าหน้าที่ พร้อมชิงอาวุธปืนประจำกายของเจ้าหน้าที่ไป ประกอบด้วยอาวุธปืนเอ็ม 16 จำนวน 5 กระบอก และเครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม 79 จำนวน 1 กระบอก ซึ่งถือว่าเป็นเหตุการณ์อุกอาจมาก
นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ที่ผู้ก่อเหตุรุนแรงตั้งใจกระทำโดยมีเป้าประสงค์ชัดเจน วางแผนมาเป็นอย่างดี เพื่อหมายชิงอาวุธปืนจากเจ้าหน้าที่ อย่างกรณีบุกเข้าโจมตีฐานและที่ตั้งของงเจ้าหน้าที่ในลักษณะ “ปล้นค่าย” ก็เคยเกิดขึ้นหลายครั้ง
อย่างกรณีเมื่อ 3 ปีที่แล้ว วันที่ 12 ม.ค.63 ผู้ก่อเหตุกว่า 20 คน วางแผนกระจายกำลังบุกเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการชุดคุ้มครองตำบล (ชคต.) ร่มไทร อ.สุคิริน จ.นราธิวาส โดยการขว้างระเบิดและยิงเครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม 79 เพื่อเปิดทาง แล้วระดมยิงใส่ จนทำให้เจ้าหน้าที่ อส. (อาสารักษาดินแดน) ที่อยู่ภายในฐาน เสียชีวิต 1 นาย และบาดเจ็บ 11 ราย
จากนั้นคนร้ายได้บุกเข้าไปชิงอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ อส.ไปด้วย 5 กระบอก ประกอบด้วยอาวุธปืนเอ็ม 16 จำนวน 1 กระบอก อาวุธปืนเอชเค 33 อีก 3 กระบอก และอาวุธปืนพกสั้นส่วนตัวของเจ้าหน้าที่อีก 1 กระบอก
ปฏิบัติการในครั้งนั้นมีการวางแผนมาเป็นอย่างดี ทางกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงได้แบ่งกำลังเป็น 3 ชุด โดยชุดแรกเป็นชุดที่เข้าโจมตีฐาน ชคต.ร่มไทร ส่วนอีก 2 ชุดที่เหลือวางกำลังไว้ริมถนน 2 เส้นทางที่จะเดินทางมายังฐาน ชคต.ร่มไทร เพื่อดักโจมตีและสกัดกั้นกำลังเจ้าหน้าที่ชุดที่เข้ามาสนับสนุนช่วยเหลือระหว่างก่อเหตุ แม้ว่ามีการวางแผนมาอย่างดี แต่ทางฝ่ายผู้ก่อเหตุรุนแรงก็เสียชีวิต 1 รายจากการยิงปะทะกับเจ้าหน้าที่ที่นำกำลังเข้ามาสนับสนุน
ยังมีเหตุการณ์ในลักษณะนี้อีกหลายครั้งที่คนร้ายก่อเหตุกับเจ้าหน้าที่ในช่วงที่อยู่คนเดียว หรือมีกำลังน้อยกว่า ในลักษณะซุ่มยิงจนเสียชีวิตแล้วจึงเข้าไปชิงอาวุธปืนก่อนหลบหนี ซึ่งการก่อเหตุแล้วชิงอาวุธปืนที่คนร้ายกระทำการบรรลุเป้าหมาย ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเนื่องจากมีจำนวนเยอะกว่าเจ้าหน้าที่ และจุดที่ก่อเหตุเป็นจุดที่กำลังสนับสนุนเข้าไปช่วยเหลือได้ช้า จนทำให้คนร้ายมีเวลาในการก่อเหตุ และเข้าไปสังหารเจ้าหน้าที่อย่างถึงตัว แล้วชิงอาวุธปืนไปได้
สถิติการก่อเหตุที่มีเป้าประสงค์ต่ออาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเคยเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบัน (ธ.ค.65) ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เก็บรวบรวมตัวเลขเอาไว้ พบว่าเกิดขึ้นทั้งหมด 174 ครั้ง แยกตามพื้นที่ได้ดังนี้
จ.ยะลา เกิดขึ้น 55 ครั้ง
จ.ปัตตานี เกิดขึ้น 62 ครั้ง
จ.นราธิวาส เกิดขึ้น 53 ครั้ง
จ.สงขลา เกิดขึ้น 4 ครั้ง
ทั้งยังพบว่าในช่วงปี 2548 ซึ่งถือเป็นช่วงต้นของสถานการณ์ความไม่สงบ มีการก่อเหตุโจมตีกำลังเจ้าหน้าที่เพื่อประสงค์ต่ออาวุธปืนสูงที่สุด เกิดขึ้นมากถึง 125 ครั้ง ตามยุทธศาสตร์ที่เรียกกันว่า “ปืนเจ้าหน้าที่คือปืนของเรา” เพื่อนำปืนของเจ้าหน้าที่เอง มากระทำการกับเจ้าหน้าที่เมื่อ “เป้าหมายชัด โอกาสมี ทางหนีพร้อม”
ส่วนจำนวนอาวุธปืนทางฝ่ายรัฐต้องสูญเสียให้กับผู้ก่อเหตุรุนแรง ทั้งจากการโจมตีฐานปฏิบัติการ ซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ อส. เคยมีข้อมูลที่เปิดเผยมาจากทางฝ่ายความมั่นคงในช่วงปี 59 หรือ 12 ปีหลังจากเหตุปล้นปืนค่ายปีเหล็ง เมื่อปี 47 พบว่า มีอาวุธปืนถูกปล้นชิงไปทั้งหมด 2,076 กระบอก (รวมเหตุปล้นปืนจากค่ายปิเหล็ก หรือค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 ม.ค.47 ด้วย 413 กระบอก)
โดยฝ่ายความมั่นคงสามารถติดตามปืนคืนจากการปิดล้อม ตรวจค้น จับกุม และวิสามัญฆาตกรรมผู้ก่อเหตุรุนแรง ตลอด 12 ปี ได้ปืนคืนมาทั้งหมด 804 กระบอก ซึ่งในนั้นเป็นอาวุธปืนจากเหตุปล้นค่ายปีเหล็ง 98 กระบอก และเหตุโจมตีฐานพระองค์ดำ กองร้อยทหารราบที่ 15121 อ.ระแงะ นราธิวาส เมื่อปี 54 จำนวน 20 กระบอก