.
คอลัมน์: จุดคบไฟใต้/ โดย… ไชยยงค์ มณีพิลึก
.
ต้องไม่อายที่จะบอกว่า สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ลดความรุนแรงลงนั้น ไม่ได้เป็นเพราะการป้องกันและปราบปราม กระบวนการพูดคุยสันติสุข หรือขับเคลื่อนงานในการสร้างสันติสุขอย่างได้ผล จนทำให้ “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนลดปฏิบัติการใช้อาวุธ เพื่อเดินตามแนวทางการพูดคุยเพื่อสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้น
แต่ที่สถานการณ์ความรุนแรงลดลงเพราะการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ทำให้ “อาร์เคเค” หรือต้องกองกำลังติดอาวุธระมัดระวังทั้งในการปฏิบัติการ รวมถึงการส่งกำลังบำรุงจากกองบัญชาการใหญ่ของ “บีอาร์เอ็น” จากรัฐกลันตันประเทศมาเลเซีย ซึ่งอย่างหลังนี้ต้องชะงักงันมานานแล้ว
นั่นไม่ได้หมายความว่าบีอาร์เอ็นจะหยุดปฏิบัติการ เพราะยังเห็นถึงความพยายามซุ่มโจมตีจากแนวร่วมต่อเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจ ทหารและกองกำลังท้องถิ่น ทั้งการซุ่มยิง การวางระเบิดยังเกิดขึ้นตลอดเวลาในพื้นที่
ล่าสุดคือการถล่มยิงแล้วเผารถส่งสินค้าจากหาดใหญ่ปลายทางนราธิวาส เหตุเกิดที่ ต.ละหาร อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ทำให้ 3 ชีวิตในครอบครัว “ไทยพุทธ” จากหาดใหญ่กลายเป็นเหยื่ออย่างโหดเหี้ยม และก่อนหน้าในเดือนเดียวกันนี้ก็มีเหตุทั้งคนและหมู่บ้านไทยพุทธ ที่ปัตตานีและนราธิวาสเป็นเป้าหมายก่อเหตุมาแล้ว
เหตุการณ์ล่าสุดเป็นผลจากแนวร่วมโจมตีป้อม ชคต.และปะทะกับ ชป.จรยุทธ์ที่นราธิวาส ฝ่ายแนวร่วนเสียชีวิต 1 ศพและถูกจับเป็น 2 ราย ถัดมาเพียงวันเดียวอาร์เคเคจึงปฏิบัติการเอาคืนถึง 3 ศพ
ถือเป็นการแสดง “สัญลักษณ์” เป็นการแสดง “ตัวตน” ให้เห็นว่าชายแดนใต้ยังไม่สงบ บีอาร์เอ็นยังพร้อมต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากนี้ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า”ต้องจัดกำลังไล่ล่าเพื่อเอาคืนเช่นเดียวกัน
นั่นหมายความว่า “รอมฎอน” ปีนี้ก็จะกลายเป็น “เดือนเลือด” ตามความประสงค์ของบีอาร์เอ็นอีกครั้งหนึ่ง
เป็นการเดินไปในเส้นทางที่ “ฝ่ายบ่มเพาะ” วางหมากไว้แล้ว นั้นคือการฆ่าศัตรูในเดือนรอมฎอน ผู้ฆ่าจะได้บุญ 10 เท่า และถ้าเสียชีวิตจากการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ก็จะได้ขึ้นสวรรค์
เป็นที่น่าสังเกตว่าการที่อาร์เคเคฆ่าคนในเดือนรอนฎอน เรื่องนี้ไม่เคยมีองค์กรไหนไม่ว่าจะมุสลิมอย่าง “องค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC)” หรือไม่มุสลิมอย่าง “เจนีวาคอลล์” และ “คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC)” ออกมาประณามว่าเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อน ไร้มนุษย์ธรรมและขัดกับหลักศาสนาเลย
แต่เมื่อทหารหรือตำรวจไล่ล่า จับกุมหรือวิสามัญอาร์เคเค บรรดาองค์กรเหล่านี้ รวมถึงเอ็นจีโอและนักสิทธิมนุษยชนทั้งในและนอกประเทศจะออกมาท้วงติงหรือประณามทันทีว่า เจ้าหน้าที่ทำเกินเหตุและไม่ควรที่จะมี ปฏิบัติการในเดือนอันศักดิ์สิทธิ์
ความรุนแรงในเดือนรอมฎอนจึงไปเข้าทางไอซีอาร์ซี เพราะถ้ายิ่งมีเหตุโหดเหี้ยมรุนแรง มีการปะทะ ไล่ล่า ปรามปรามและจับกุมมากเท่าไหร่ ก็จะสามารถเขียนรีพอร์ตไปยังต้นสังกัดที่สวิสเซอร์แลนด์ได้ว่า สถานการณ์ในชายแดนใต้ของไทยเป็นเรื่องของการปราบปรามประชาชน
เป็นการ “ขัดกันด้วยอาวุธ” และเป็น “อาร์มคอนฟิกซ์” เข้าเงื่อนไขที่เปิดทางให้องค์กรต่างชาติเข้ามาแทรกแซง
ที่สำคัญจะได้ใช้เป็นเงื่อนไขขอตั้งสำนักงานเพื่อปฏิบัติการในพื้นที่ชายแดนใต้ตามความต้องการต่อไป หลังจากที่ นายคริสตอฟ ซุตแตร์ ผอ.สนง.ภูมิภาคกรุงเทพฯ ของไอซีอาร์ซีนำคณะเข้าพบกับ พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ผบ.สส. เพื่อขอการสนับสนุนจากฝ่ายทหารมาเมื่อไม่นานนี้
หลังจากปล่อยให้ “นายพลนอกราชการ” ที่กินเงินเดือนไอซีอาร์ซีในฐานะที่ปรึกษาได้วิ่ง ล็อบบี้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ขอเปิดอบรมนายทหารผู้นำหน่วยในชายแดนใต้มาถึง 2 ระลอก แต่ไม่เป็นผล
อย่างครั้งล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ มีทั้งออกหนังสือเชิญและจ่ายเงินจองโรงแรมไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ก่อนงานเพียงไม่กี่วัน พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคลรมช.กลาโหมสั่งระงับ ทำเอาทั้งนายพลนอกราชการและไอซีอาร์ซีเสียรางวัดไปพอสมควร
การวิ่งล็อบบี้ ผบ.สส.จะได้ผลประการใดยังไม่ชัด เพราะการระบาดของโควิด-19 ละลอก 3 เกิดขึ้นมาเสียก่อน แต่ไอซีอาร์ซีก็ยังหวังมากว่าจะได้รับ “ไฟเขียว” จากผู้ที่มีอำนาจมากกว่า “นายพล” ใน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เพราะเชื่อมมั่นนายทหารนอกราชการที่เป็นที่ปรึกษาล้วนมาจากเส้นทางกองบัญชาการกองทัพไทย
แต่เชื่อเถอะไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว ไอซีอาร์ซีก็จะหาทางอยู่เพื่อปฏิบัติการในชายแดนใต้ต่อไปให้ได้ เพราะวันนี้ไทยคือเป้าหมายหลักขององค์กรฝรั่งหัวแดง ซึ่งไม่เพียงแต่พื้นที่ไฟใต้เท่านั้น ที่กรุงเทพ ในภาคอีสานและเหนือก็ไม่ต่างกัน มีการเคลื่อนไหวในชื่อองค์กรตะวันตกอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน
ตัวอย่างกรณี นายเดวิด สเตร็คฟัสส์นักวิชาการชาวอเมริกันที่ถูกระบุเป็นซีไอเอ และเพิ่งถูกปลดพ้น ผอ.โครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษา CIEE ที่เป็นโครงการร่วมกับ ม.ขอนแก่นมากว่า 27 ปี หรือกรณี นายเฮนรี่ เรคเตอร์ที่ปรึกษาทูตอเมริกันฝ่ายการเมือง มีไลน์หลุดว่าเกี่ยวข้องกลุ่มเคลื่อนไหวขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ทั้งหลายทั้งปวงมีการเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออกระหว่างหน่วยงานหรือองค์กรต่างชาติที่เข้ามาเคลื่อนไหวอยู่ในแต่ละภูมิภาคของไทย ซึ่งถ้าศึกษาให้ดีจะพบว่าเป็นเรื่องที่ “หมิ่นเหม่” ต่อการเป็นภัยคุกคามอธิปไตยและความมั่นคงทั้งสิ้น
แม้แต่ ผอ.สนง.ภูมิภาคกรุงเทพฯ ของไอซีอาร์ซีเองก็มีภาพที่ปรากฏให้เห็นว่า มีการพบปะกับแกนนำกลุ่มราษฎรอย่างไม่น่าสงสัย
อย่างไรเสียไอซีอาร์ซีก็ยังไม่ย้ายฐานออกจากชายแดนใต้ไปง่ายๆ เพราะงต้องรอผลในสิ่งที่ได้หว่านไว้ในแผ่นดินไฟใต้ โดยผ่านทางองค์กรภาคประชาสังคมต่างๆ โดยเฉพาะในปีกการเมืองบีอาร์เอ็น ไม่ว่าจะในเรื่อง “สิทธิการกำหนดชะตากรรมตนเอง (RSD )” รวมถึงกฎหมายสิทธิมนุษยชนและกฎบัตรระหว่างประเทศ
ยังมีประเด็นร้อนแรงอื่นๆ ในภาคใต้ที่ไอซีอาร์ซีรอให้เกิดขึ้นอีก ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งใน “โครงการเมืองอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต”ที่ อ.จะนะ จ.สงขลา ซึ่งเด่นชัดขึ้นทุกขณะว่าจะมีการดึงเอาสถาบันการศึกษามุสลิมผู้นำศาสนาเข้าไปร่วมเป็นคู่ขัดแย้งด้วย
รวมถึง “โครงการขุดคลองไทย” ที่วันนี้เริ่มจะเห็นการเอาด้วยจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และเห็นการขยับตัวคัดค้านของฝ่ายเอ็นจีโอมาต่อเนื่อง
ทั้งหมดคือ “สงคราม” ที่ปลายด้ามขวาน ซึ่งกำลังจะเดินเข้าสู่ “กับดัก” ที่ถูกองค์กรจากชาติจากตะวันตกวางไว้ และรอให้เกิดขึ้นโดยมีสถานการณ์การแบ่งแยกดินแดนในชายแดนใต้เป็น “สารตั้งต้น”
อ่านจบแล้วถ้ายังคิดไม่ได้ว่า ควรจะให้ไอซีอาร์ซีออกจากชายแดนใต้หรือไม่ หรือควรจะเก็บเอาไว้เพื่อสร้างประโยชน์ในการ
“กระพือไฟใต้” ให้โชนเปลวกว่านี้ก็ไม่ว่ากัน