น่าเวทนา…
ทักษิณ ชินวัตร ถูกถามในห้องสนทนาแอป Clubhouse เรื่องเหตุการณ์สลายการชุมนุมตากใบ-กรือเซะ
เจ้าตัวตัดบททันที พูดเลี่ยงๆ ไปว่าเป็นเหตุการณ์ที่น่าเสียใจ (แต่ไม่กราบขออภัยพี่น้องมุสลิม) และอ้างว่า “จำไม่ค่อยได้”
อุตส่าห์โผล่มาใช้แอปใหม่
แต่พอถูกถามเรื่องผลงานโบดำที่เป็นมลทินติดตัว กลับใช้วิธีการดำน้ำหนีแบบเดิมๆ
ใครที่เกิดไม่ทัน หรือยอมตนเป็นลิ่วล้อบริวาร อาจจะแกล้ง “จำไม่ได้” เหมือนที่ทักษิณพยายามจะให้เป็นแบบนั้น แต่คนที่ติดตามเหตุการณ์บ้านเมืองจริงจัง ย่อมไม่มีทางลืม
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีต สว.ในขณะนั้น ซึ่งได้ลงพื้นที่ไปติดตามตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย ได้เคยเขียนรายงานต่อประชาชนคนไทยเอาไว้อย่างแจ่มชัด
บางตอนระบุว่า
…
การสลายการชุมนุมและควบคุมตัวประชาชนผู้ชุมนุมประท้วงที่บริเวณหน้า สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547 ทำให้มีประชาชนเสียชีวิตถึง 85 คน!
โดยเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 6 คน เสียชีวิตที่โรงพยาบาล 1 คน และเสียชีวิตในระหว่างการควบคุมตัวบนรถบรรทุก ขนย้ายจาก อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ไปค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี จำนวน 78 คน
ความจริงที่ตากใบ
หลังเกิดเหตุ คณะกรรมาธิการของวุฒิสภาจำนวน 3 คณะ ประกอบด้วย คณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ และคณะกรรมาธิการสอบสวนและศึกษาเรื่องเกี่ยวกับการทุจริต ได้เดินทางลงไปตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่
ผมในฐานะสมาชิกวุฒิสภา กรรมาธิการการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ขณะนั้น) ได้พบ “ความจริงที่ตากใบ” สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
(1.1) นโยบายและการสั่งการ
ก่อนวันเกิดเหตุ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้ส่งสัญญาณให้ใช้ความรุนแรงในหลายโอกาส หลายนโยบายของการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นสงครามยาเสพติดที่มีการฆ่าตัดตอนกว่า 2,800 ศพ ส่วนหนึ่งก็ด้วยการชี้แจงและมอบหมายนโยบายที่ชี้นำให้เกิดการใช้ความรุนแรงของนายกฯ ส่วนกรณีปัญหาภาคใต้ พ.ต.ท.ทักษิณก็ได้ปฏิเสธแนวทางสันติวิธีของรองนายกฯจาตุรนต์ ฉายแสง แต่ใช้นโยบายแข็งกร้าว ชี้นำความรุนแรงว่า “ตาต่อตาฟันต่อฟัน” – “บ้ามาก็บ้าไป” -“จะปราบให้สิ้นซาก” – “at any cost at anyprice” – “มันเหมือนอาการคนใกล้ตาย ต้องรุนแรงหน่อย” ฯลฯ
ในวันเกิดเหตุ ก่อนจะมีการสลายการชุมนุมที่ตากใบ ปรากฏว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ลงไปในพื้นที่ด้วยตนเอง
(1.2) เจ้าหน้าที่กวาดจับโดยไตร่ตรองเตรียมการไว้ก่อน
วันเกิดเหตุ ชาวบ้านนับพันคนมาร่วมชุมนุมบริเวณหน้า สภ.อ.ตากใบ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) จำนวน 6 คน ฝ่ายเจ้าหน้าที่ทางการเตรียมการจะจับกุมแกนนำผู้ชุมนุมประมาณ 100 คน โดยถ่ายภาพตัวบุคคลที่ทางการต้องการจับกุมเอาไว้ก่อน ทั้งวีดีโอและภาพนิ่ง
ระหว่างการเจรจากับผู้ชุมนุม ก็เตรียมรถจีเอ็มซี จำนวน 4 คัน จากค่ายอิงคยุทธบริหารไปรอที่หน้าอำเภอตากใบ เพื่อเตรียมไว้ขนคนจำนวน 100 คน แต่ก่อนการสลายการชุมนุม ตัวบุคคลที่ทางการต้องการจับกุมได้กระจายตัวไปฝูงชนที่เข้ามาร่วมชุมนุม เจ้าหน้าที่จึงใช้วิธีปิดล้อม กวาดจับกุมประชาชนกว่า 1,300 คนเพื่อ “ตะแกรงร่อน” เอาคน 100 คนที่กำหนดตัวไว้เดิม
แต่ในทางปฏิบัติ เมื่อกวาดจับแล้ว มีการให้ผู้ชุมนุมถอดเสื้อ มัดมือไพล่หลังเกลือกกลิ้งไปตามพื้นดิน ทำให้ไม่สามารถเลือกจับกุมเฉพาะตัวคน 100 คน ที่ทางการเชื่อว่าเป็นแกนนำได้ จึงกวาดจับไปทั้งหมดประมาณ 1,300 คน
(1.3) กระทำการขนย้ายเยี่ยงสัตว์
การขนย้ายผู้ชุมนุมที่ถูกควบคุมตัวไว้โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ จากอำเภอตากใบไปค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ระยะทางประมาณ 150 กิโลเมตร ใช้รถทหารจำนวน 25 คัน และรถตำรวจกับรถเช่าอีกจำนวนหนึ่ง ขนผู้ชุมนุมประมาณ 1,300 คน โดยยัดแน่น อัดกันอยู่ในรถ
การจับประชาชนที่ถูกมัดมือไพล่หลัง ร่างกายอ่อนเพลียจากการถูกปะทะในระหว่างสลายการชุมนุมและอยู่ระหว่างถือศีลอด โยนส่งขึ้นไปบนรถ บังคับให้นอนคว่ำหน้าบนพื้นรถ ขณะที่มือยังถูกมัดไพล่หลัง มีการวางประชาชนนอนซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ 4-5 ชั้น โดยใช้เวลาเดินทางนานถึง 5-6 ชั่วโมง โดยต้องถูกมัดมือไพล่หลัง นอนคว่ำหน้า ทับกันไปอย่างนั้นตลอดเวลาเดินทาง
คนที่นอนคว่ำหน้าอยู่แถวล่างสุด (ถูกคนทับอยู่ 3-4 ชั้น) เมื่อใกล้ตาย ขาดอากาศหายใจ กล้ามเนื้อถูกกดทับทำลาย ร้องขอความช่วยเหลือ ก็ถูกทหารที่ควบคุมไปกับรถขึ้นไปเหยียบด้านบน และใช้พานท้ายปืนตี พร้อมกับพูดว่า “จะได้ให้พวกมึงรู้ว่า นรกมีจริง”
การกระทำของเจ้าหน้าที่ดังกล่าว เป็นการกระทำที่ไร้ซึ่งมนุษยธรรม ปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมอย่างไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ไม่เคารพสิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ใช้วิธีทรมานและทารุณกรรม ขนย้ายผู้ชุมนุมโดยไม่ตระหนักว่า ประชาชนผู้ชุมนุมเป็นมนุษย์ ไม่ใช่สัตว์
(1.4) รู้ว่ามีคนตาย แต่ไม่ป้องกันแก้ไขเพื่อลดความสูญเสีย
รถบรรทุกผู้ชุมนุมคันแรกเดินทางไปถึงค่ายอิงคยุทธบริหาร เวลาประมาณ 18.00-19.00 น. ปรากฏว่า มีคนตายอยู่ชั้นล่างสุด แต่ไม่มีผู้ใดแจ้งเตือนรถคันหลังๆ ว่าการขนคนโดยมัดมือไพล่หลังให้นอนคว่ำซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ นั้นเป็นเหตุให้มีคนตาย จะได้แก้ไขเสียตั้งแต่ต้นทางและกลางทาง เพราะระหว่างนั้น รถขนคนก็ค่อยๆ ทยอยกันเดินทางมา บางคันเข้ามาถึงตี 2 ตี 3
การทราบว่าวิธีปฏิบัติดังกล่าวทำให้คนตาย แต่กลับไม่พยายามแจ้งเพื่อป้องกันแก้ไข ในขณะที่ยังมีเวลากระทำได้ทันท่วงที เท่ากับการปล่อยปละละเลยจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก อาจถูกกล่าวหาว่าเป็นการกระทำที่มีเจตนาจงใจ โดยปรากฏต่อมาว่า ในรถขนคนคันหลังๆ ได้มีผู้เสียชีวิตมากขึ้น คันที่เสียชีวิตมากที่สุด มีคนตายถึง 23 คน คนตายส่วนใหญ่ถูกมัดมือไพล่หลัง บังคับให้นอนคว่ำ ถูกทับอยู่ชั้นล่างสุดของแต่ละคัน
(1.5) สภาพผู้บาดเจ็บในโรงพยาบาล
จากการไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บ และตรวจสอบอาการ พบว่า สภาพร่างกายถูกกดทับจนกล้ามเนื้อถูกทำลาย บวม เขียว เซลล์กล้ามเนื้อที่ถูกทำลายเข้ากระแสเลือด ส่งผลให้ไตวาย บางรายอาการสาหัส ต้องฟอกเลือดในโรงพยาบาลที่สงขลา บางรายมีร่องรอยบาดแผล ถูกยิงที่ขา ที่หน้าท้อง ที่แก้มทะลุปาก ลิ้นขาด ที่บริเวณลำตัวอื่นๆ บางรายถูกซ้อม ถูกเตะเข้าที่เบ้าตา แขนขาหัก ฯลฯ
ผู้บาดเจ็บให้ข้อมูลตรงกันว่า ถูกจับนอนซ้อนทับกัน 4-5 ชั้น ส่วนมากที่อาการหนักจะเป็นคนที่ถูกทับอยู่ชั้นล่างๆ และในการสลายการชุมนุมนั้นเจ้าหน้าที่ยิงตรงในแนวระนาบและยิงขึ้นฟ้า ไม่ได้ยิงขึ้นฟ้าอย่างเดียว
(1.6) สภาพที่กักขัง และคนถูกกักขัง
ในบรรดาผู้ถูกกักขังนั้น มีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีอยู่ไม่น้อย (เกือบ 10%) ขังรวมอยู่กับผู้ใหญ่ บางคนเป็นนักเรียน เรียนอยู่โรงเรียนแสงทอง โรงเรียนจริยธรรมศึกษา ผู้ถูกกักขังที่ได้พบ พูดภาษาไทยได้ดี หลายคนจบชั้น ป.6 บางคนจบอนุปริญญา หรือกำลังเรียนอยู่ก็มี ถามว่ารู้จัก สว.ทองใบ ทองเปาว์ ไหมก็รู้จักดี มิหนำซ้ำ บางคนยังถามกลับมาว่า ระยะนี้ไม่ค่อยเห็นรายการของผม (ดร.เจิมศักดิ์) ออกทีวี
ข้อเท็จจริงที่พบ ขัดแย้งกับที่ พ.ต.ท.ทักษิณพยายามบอกสังคมว่าคนพวกนี้ไม่พูดภาษาไทย พูดอาหรับ
….
เหตุการณ์ดังกล่าว ภายใต้รัฐบาลทักษิณ ทำให้ประชาชนจำนวนมากเกิดความรู้สึกโกรธแค้น และรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมจากภาครัฐ เป็นบาดแผลฝังลึกจนปัจจุบัน
นี่ยังไม่นับพฤติกรรมอีกหลายเรื่องในยุครัฐบาลทักษิณ เช่น การอุ้มฆ่าทนายสมชาย นีละไพจิตร (ซึ่งน่าแปลกใจที่เห็นคนหนุ่มสาวพากันชูป้ายภาพทนายสมชายในม็อบ 3 นิ้วในยุคนี้) โดยที่ทักษิณเคยให้สัมภาษณ์หลังทนายสมชายถูกอุ้มหายไปว่า “แค่ทะเลาะกลับเมีย” บิดเบือน ด้อยค่า อย่างหน้าตาย
คนอย่างทักษิณ พยายามจะลบ-ลืม ทุกอย่างที่ตนเองกระทำไม่ดีเอาไว้ แม้แต่คดีความทุจริตประพฤติมิชอบก็เคยพยายามจะผลักดันนิรโทษกรรมสุดซอย ลบล้างความผิดตนเอง จนประชาชนคนไทยออกมาประท้วงจำนวนมากมายที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์
จำไม่ได้ ใช่ว่ามันไม่จริง
สารส้ม